วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

How does AEC impact affect Thailand's Undergraduate Education Management and Yourself

The Impact of AEC on Thailand's Undergraduate Education Management and Yourself.

(ประชาคมอาเซียนส่งผลกระทบต่อการจัดการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาและต่อตนเองอย่างไร)



                          
                   การก้าวกระโดดจากสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปสู่ประชาคมอาเซียน นับไปว่าสร้างความฮือฮาให้กับนานาชาติมากเลยทีเดียว และรวมถึงประเทศไทยของเราอีกด้วย ซึ่งประเทศไทยของเรานั่นอยู่ในฐานะผู้ริเริ่มก่อตั้งประชาคมอาเซียน จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้นานาประเทศจับตามองความเจริญก้าวหน้าและความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของประเทศไทยเราเป็นอย่างมาก

                   เมื่อพูดถึงประชาคมอาเซียนแล้วนั่นผู้คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงตลาดการค้าขนาดใหญ่ การพัฒนาทางเศรษฐกิจ ภาษา และวัฒนธรรมต่างๆ     ที่จะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน  จากสิ่งเหล่านี้ที่ผู้คนต่างนึกถึงนั่น เราจึงมองเห็นได้ว่าสิ่งที่เป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความพร้อมให้กับสิ่งเหล่านี้นั่นคือการศึกษา

                            ดังนั้นการศึกษาจึงเป็นส่วนสำคัญต่อการพัฒนาและเตรียมความพร้อมของประชากรภายในประเทศไทย ทั้งการพัฒนาหลักสูตร เพื่อผลิตบุคลากรของไทยให้มีที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการมีทักษะความรู้ที่ตรงต่อความต้องการของตลาดแรงงานในประเทศและต่างประเทศ  ที่สำคัญการพัฒนาทักษะทางด้านภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษที่เป็นภาษาสากลใช้ติดต่อสื่อสารกันระหว่างประเทศ รวมทั้งภาษาอื่นๆของประเทศในอาเซียน  อีกทั้งการศึกษาของไทยยังต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับบุคลากรที่จะเข้ามาทำงานในประเทศไทย และแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านที่จะหลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทยเพื่อที่จะมาศึกษาวัฒนธรรม รวมทั้งหลักสูตรต่างๆในประเทศไทยโดยเฉพาะในระดับมหาวิทยาลัย เพื่อจะเพิ่มเติมความรู้เพิ่มความเชี่ยวชาญในการทำงาน  การติดต่อกับคนไทย และนำกลับไปใช้ในประเทศของตน เมื่อเป็นดั่งเช่นนี้แล้ว มันก็คงถึงเวลาแล้วที่คนในประเทศไทยจะย้อนเหลียวหลังหันกลับมามองตนเองและประเทศตนเอง


เหลียวหลัง แลหน้าการศึกษารับอาเซียน


                  คงถึงเวลาแล้วที่เราควรจะปรับเปลี่ยนและเตรียมพร้อมเพื่อการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน      จากจุดเริ่มต้นที่สำคัญนั่นคือพื้นฐานจากการศึกษา      เพราะการเปิดประชาคมอาเซียนนั้นได้ส่งผลกระทบในหลายๆด้าน  รวมทั้งการศึกษาของไทยอีกด้วย  ก่อนอื่นเราต้องยอมรับเลยว่าการเปิดประชาคมอาเซียนนั้นส่งผลบวกอย่างมากในทางความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ  เกิดความร่วมมือในด้านต่างๆระหว่างประเทศ      แต่เมื่อเรามองกลับย้อนเหลียวหลังเราจะพบว่าสิ่งที่ตามเข้ามานอกจากเรื่องราวที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจแล้วนั้น  ยังอาจส่งผลกระทบในแง่ลบของด้านต้างๆก็เป็นไปได้ อย่างเช่นด้านอาชญากรรม การค้าขายยาเสพติดระหว่างประเทศ ความขัดแย้งทางศาสนาและวัฒนธรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ที่ตามมานั่นได้รับการพูดถึงในสังคมน้อยมาก  อีกทั้งเมื่อมีการเปิดประชาคมอาเซียนก็จะมีหลั่งไหลเข้ามาจากผู้คนนานาประเทศ แรงงานประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้การปรับตัวนั้นมีความสำคัญและความจำเป็นอย่างมาก จึงทำให้เกิดความคิดขึ้นมาว่าหากปัญหาเหล่านี้ได้ตามเข้ามาในประเทศไทยจริงๆ     ชนกลุ่มไหนที่อาจจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก กลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบหนึ่งในนั่นคงหนีไม่พ้นกลุ่มเยาวชนผู้ที่ได้รับการศึกษา เราอาจจะเห็นได้ว่าเด็กไทยในปัจจุบันนี้นั้น ขาดในหลายๆด้าน  อะไรบ้าง เช่น

ทักษะการคิดวิเคราะห์ สร้างสรรค์ วางแผน
ความรักการอ่าน และการทำวิจัย
คุณธรรมจริยธรรรม  ระเบียบวินัย
ความเชื่อมั่นในตนเอง
การเชื่อมโยงการศึกษากับภาคแรงงาน (เรียนไปแล้วไม่รู้จะทำอะไร)
การแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การแก้ปัญหาในการทำงาน

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นได้กับเยาวชนทุกคน ดังนั้นความพร้อมจึงควรมาจากการศึกษาเพื่อที่จะเร่งพัฒนาความคิดของเยาวชนให้ก้าวไกลและสามารถใช้ชีวิตในประชาคมอาเซียนได้  เร่งพัฒนาฝึกฝนการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง  การทำความรู้จักและยอมรับในวัฒนธรรมที่แตกต่างไปจากเรา เรียนรู้ภาษาให้เป็นภาษาที่สองหรือภาษาที่สามของตนเอง เพื่อที่จะสามารถนำไปใช้สื่อสารระหว่างประเทศได้  การศึกษาต้องเป็นแรงผลักดันและช่วยให้เกิดการเรียนรู้ในสิ่งเหล่านี้ เพื่อให้เยาวชนของไทยนั้นสามารถเผชิญปัญหา และสถานการณ์ด้วยตนเองได้ 

              นี่เป็นเพียงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับการศึกษาไทยในอนาคต นอกจากผลกระทบต่อการศึกษาไทยแล้วนั้น ประชาคมอาเซียนที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในสังคมตอนนี้ยังส่งผลกระทบต่อตัวฉันอีกด้วย

ถามตัวเองว่าพร้อมหรือยัง


               ถ้าจะถามตนเองว่าพร้อมแล้วหรือยังกับการที่จะเดินเข้าไปสู่ประชาคมอาเซียน  ฉันคงตอบได้อย่างชัดเจนว่าฉันคงไม่พร้อมที่จะเดินเข้าไปสู่ประชาคมอาเซียน เพราะความตื่นตัว การเตรียมตัว การทำความรู้จักเกี่ยวกับวัฒนธรรม ต่างๆของสมาชิกประเทศอาเซียนนั่นยังน้อยเกินไป ที่ฉันสามารถพูดไปเช่นนี้ได้เพราะฉันไปพบเจอจากประสบการณ์จริง ฉันมีโอกาสไปรับประทานอาหารร่วมกันรุ่นพี่ที่มาจากกัมพูชาซึ่งปัจจุบันนี้เขาเป็นเจ้าของธุรกิจบริษัทขายน้ำในประเทศกัมพูชา ในเมื่อหลายปีที่แล้วที่ดิฉันรู้จักเขา เขาสามารถพูดภาษาไทยในเพียงนิดเดียว เช่น สวัสดีครับ ขอบคุณครับ แต่เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเราได้เจอกัน และได้รับฟังบทเพลงภาษาไทยซึ่งเป็นเพลงวัยรุ่นในเมืองไทย เขาสามารถร้องเพลงได้อย่างถูกต้อง อกกเสียงชัดเจน จึงถามว่าฝึกพูดไทยนานแล้วหรือยัง เขาตอบกลับมาว่า " ฝึกไม่นาน แต่ฝึกเรื่อยๆจนพูดได้ " เขาก็เอ่ยปากชวนฉันไปเที่ยวกัมพูชา ฉันเลยบอกไปว่า " ไปเที่ยวได้แต่จะคุยกับคนกัมพูชาไม่รู้เรื่อง " เขาเลยบอกว่า " ไม่ต้องกลัว คนกัมพูชาพูดไทยได้ "  ดิฉันก็เลยสงสัยว่าพูดไทยได้เกือบหมดเลยเหรอ เขาตอบมาว่า  " ใช่  เพราะคนกัมพูชาดูละครไทย ติดตามข่าวในประเทศไทย อ่านหนังสือภาษาไทยบ้าง แต่คนไทยนั่นไม่เคยรู้จักคนกัมพูชา คนไทยไม่ดูละครกัมพูชา คนไทยไม่รู้ว่าภาษากัมพูชาเป็นอย่างไร     คนกัมพูชาก็เลยหัดพูดภาษาไทยเพื่อที่จะได้เข้ามาคุยกับคนไทย "
          หลังจบประโยคนั้นความคิดที่เข้ามาในหัวของฉันคือนี่แค่เพียงประเทศเดียวที่ฉันได้ยินว่าเขาฝึกภาษาไทย เขาเรียนรู้วัฒนธรรมคนไทย แล้วจะมีอีกกี่ประเทศที่เขากำลังทำแบบนี้อย่างคนกัมพูชา แล้วตัวเราละเคยคิดที่จะทำแบบนี้กับประเทศอื่นๆบ้างหรือไม่  หลังจากคืนนั้นฉันก็เลยรู้ตัวเองว่าความพร้อมในตนเองนั่นแทบจะไม่มี ทั้งทางด้านภาษา วัฒนธรรม การปรับตัว การทำความรู้จักประเทศต่างๆ   แต่มันก็เป็นสิ่งที่ดีที่ฉันได้มาพบเจอรุ่นพี่คนนี้อีกครั้ง เขาทำให้ฉันรู้ว่าถึงเวลาแล้วละที่เราจะลุกจากที่นั่งที่ยังคงยึดติดว่าเรารู้อะไรมากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เปลี่ยนมาเป็นการทำความรู้จัก และมองว่าประเทศเพื่อนบ้านเรานั้นกำลังพัฒนาไปอย่างไร และเราควรจะเตรียมตัวที่จะพบกับการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นกับตัวเราเองในการเปิดประชาคมอาเซียนแล้วหรือยัง หากคุณอ่านเรื่องราวเหล่านี้ คุณควรที่จะลองกลับไปคิดดูว่าแล้วคุณละ หรือยัง?



วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"If" fa Raday

"IF" FA RADAY


 >> ถ้าวันนี้เป็นวันเกิดฉัน ก็คงเป็นวันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2532 ฉันไม่รู้ว่าหน้าตาตอนฉันเกิดมาเป็นอย่างไร เสียงแรกของฉันจะเป็นอย่างไร ฉันรู้แค่ว่าฉันเกิดมา ลืมตาครั้งแรกก็อยู่อ้อมกอดของผู้หญิงที่สวยที่สุดแล้วอ่ะ  ฉันรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนั้นเขาเรียกฉันว่าลูกสาว และเป็นลูกสาวสุดสวยของเขาซะด้วย ชีวิตของฉันค่อยๆเติบโตมากับความรู้สึกที่อบอุ่นจนมันสามารถเรียกได้ว่าความรักจากชายหญิงคู่หนึ่ง ที่ฉันเองก็ค่อยๆเรียนรู็ได้ว่าทั้งสองนั้นคือพ่อแม่ ผู้ให้กำเนิดฉันมานั่นเอง
หนูหล่อมั๊ยค่ะ 555



พ่อ แม่ ลูกสาวสุดสวยของท่าน


>>ถ้าวันนี้ฉันเป็นเด็ก ชีวิตวัยเด็กของฉันเติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่นที่สุด ครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรัก ครอบครัวของฉันมีพ่อ แม่ และน้องชาย  เจ้าน้องชายสุดหล่อของฉันชื่อปีเตอร์ เป็นตัวแสบ เอาแต่ใจที่สุดในบ้าน ที่ทุกคนในบ้านต้องตามใจรวมถึงฉันด้วย ครอบครัวของฉันมีฐานะทางบ้านปานกลางไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย แต่ฉันก็โชคดีที่ฉันก็ได้เป็นเด็กคนนึง ที่ต้องการอะไรพ่อแม่ก็หามาให้ฉันเสมอ ( แต่ฉันไม่ได้เป็นเด็กเอาแต่ใจนะ )  เพราะพ่อแม่จะให้ในสิ่งสิ่งที่คิดว่าเหมาะสมและมีประโยชน์ต่อฉัน 
ชีวิตวัยเด็ก ฉันร่าเริง
ชีวิตวัยเด็ก ฉันซุกซน
ชีวิตวัยเด็ก ฉันขี้แง
ชีวิตวัยเด็กฉันติดพ่อแม่
ชีวิตวัยเด็ก ฉันมีความสุข
ชีวิตวัยเด็ก ฉันไม่เคยเครียด
ชีวิตวัยเด็ก คืออดีตที่น่าจดจำ




อีฟฟาร์รักปีเตอร์นะ


>> ถ้าวันนี้ย่ายังอยู่ ในชีวิตวัยเด็กของฉัน ย่าเป็นอีกบุคคลนึงที่คอยเลี้ยงดูฉันแทนพ่อแม่ มอบความรัก ความห่วงใย ดูแลตามใจฉันทุกอย่าง ฉันถือได้ว่าเป็นหลานรักที่สุดเลยก็ว่าได้ ฉันจำได้ว่าที่บ้านย่าตอนเด็กๆนั้น ย่าของฉันเลี้ยงแพะ เลี้ยงวัว เลี้ยงไก่ เมื่อลูกไก่ออกลูก ฉันจะชอบไล่ตี ไล่เหยียบลูกไก่ ฉันก็มักจะโดนดุเสมอ แต่ย่าก็คอยปลอบฉันและไม่เคยว่าฉันเลย ฉันชอบทานอาหารฝีมือย่า ชอบให้ย่าป้อนอาหาร บ้านของย่าเป็นบ้านไม้ ฉันวิ่งเสียงดัง ญาติคนอื่นบ่น แต่ย่าไม่เคยบ่น ย่าคอยอาบน้ำแต่งตัว หวีผม ทำขนมให้ฉันกิน ฉันจึงรักย่าของฉันมากที่สุดฉันเคยคิดไว้ว่าฉันจะเรียนหนังสือ เพราะปู่ของฉันมักจะสอนว่าเราต้องมีความรู้จะได้เติบโตในอนาคตที่ดี ฉันจึงอยากที่จะเรียนหนังสือ หางานทำเพื่อในอนาคตฉันจะมาดูแล และตอบแทนบุญคุณบุพการีทั้งหมด แต่สำหรับย่าของฉันมันคงเป็นเพียงได้แค่ความฝัน และเป็นความฝันที่เลวร้ายที่สุดที่ฉันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองพลาดขนาดนี้อะไรมาก่อน ตอนฉันเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีใหม่ๆ ฉันยังไม่ได้กลับบ้าน  เพราะฉันคิดว่าอยากอยู่สนุกสนานกับเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัยก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน เพราะคิดไว้ถ้ากลับบ้านไปคงต้องอยู่บ้านอีกนานแน่เลย ซึ่งในระยะนั้นฉันก็ทราบว่าย่าของฉันนั้นแก่มากแล้ว แต่เวลาถามถึงย่าพ่อก็บอกว่าสบายดี จนถึงต้นเดือนมิถุนายนพ่อของฉันบอกว่าย่าไม่ค่อยสบายๆ เพราะย่าแก่มากแล้วร่างกายเริ่มอ่อนแอลงไปเรื่อยๆทุกที แต่ก็ไม่เป็นไรมาก ฉันจึงอยากจะกลับบ้านแต่ตอนนั้นฉันก็ยังต้องทำเรื่องขอเรียนจบที่มหาวิทยาลัย จนถึงคืนวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2555 ฉันรู้สึกกระวนกระวายนอนไม่หลับจึงโทรหาแม่บอกแม่ว่าฉันรู้สึกไม่ไดี แม่เลยฉันว่าไม่มีอะไร และถึงตอนเช้าของวันที่ 3 ฉันได้รับโทรศัพท์จากพ่อแม่ให้รีบจองตั๋วเครื่องบินกลับบ้านโดยด่วนฉันถามว่าทำไม?? พ่อแม่ก็บอกว่าย่าอาการเริ่มหนักอยากให้ฉันมาอยู่เป็นเพื่อน แล้ววันนั้นจองตั๋วเครื่องบินเที่ยวไหนก็ไม่ว่างเลยทุกสายการบิน ฉันจึงตัดสินใจกลับรถทัวร์ พอเวลาประมาณ 10.30 น. แม่โทรมาบอกว่าย่าเสียแล้ว ความรู้สึกตอนนั้นมันยากที่จะอธิบายได้ถึงการสูญเสีัยในครั้งนี้ ฉันร้องไห้แบบที่ไม่เคยร้องไห้มาก่อน ซึ่งย่านั้นต้องทำพิธีศพทางศาสนาอิสลามคือฝั่งภายใน 24ชั่วโมง ฉันไม่มีทางเดินไปทันที่จะไปร่วมฝั่งศพย่าได้ จึงเป็นความรู้สึกที่ความผิดพลาดที่สุด แต่ทุกคนและญาติต่างๆก็ปลอบใจฉัน บอกว่าย่ารับรู้แล้วว่าฉันรู้เรื่องและอยากที่มาหาย่า สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกผิดว่าฉันควรกลับมาหาย่าก่อนนั้น ก่อนที่ย่าจะสิ้นลม ย่านอนหายใจไม่ค่อยออก ค่อยหายใจ่อ่อนลงไปเรื่อยๆแต่ย่าก็ไม่ยอมหลับ ปู๋เลยบอกให้ย่าหลับให้สบาย ทุกคนก็บอกว่าให้ย่าหลับให้สบาย ย่าก็ไม่ยอมหลับ ย่าเรียกแต่ชื่อของฉันคนเดียว รอให้ฉันมาหา ต่อให้ใครมาพูดย่าก็ไม่ยอมหลับ จนพ่อของฉันจึงตัดสินใจโกหกด้วยการจับมือย่าและบอกว่านี้คือมือของฉัน ฉันมาหาย่าแล้ว ฉันรู้เรื่องแล้ว เมื่อพ่อพูดจบย่าก็กระตุกมือหนึ่งครั้งแล้วก็หลับไปตลอดกาล มันจึงทำให้ฉันรู้ว่าความสุขความสนุกชั่วคราวมันไม่สำคัญเท่ากับการรอคอยของคนในครอบครัวที่เขารอการกลับไปของเรา จากเหตุการณ์ครั้งนี้จึงเป็นบทเรียนให้กับชีวิตฉันมาก ฉันจึงกลัวการสูญเสียเป็นอย่างมากที่สุด
                           หากใครก็ตามที่ได้อ่านเกี่ยวกับเรื่องราวนี้ จงจำและระลึกไว้เสมอว่าความรักของคนในครอบครัว การรอคอยของปู่ย่าตายายที่รอคอยลูกหลานกลับไปหานั้นมีคุณค่าและมีความหมายต่อชีวิตท่านเสมอ ต่อให้เราจะอยู่ที่ไหนทำอะไร ความรักของท่านที่มีให้เราก็จะติดตัวเราไปเสมอ อย่าสนุกสนานจนลืมคนที่บ้านนะค่ะ

เมื่อถึงบ้านก็เหลือเพียงแค่นี้


>>ถ้าตอนนี้ฉันเรียนมัธยม พูดถึงชีวิตในช่วงมัธยมนั้นเป็นช่วงชีวิตที่สนุกสนานมาก ฉันเป็นเด็กกิจกรรมของโรงเรียนเลยนะ อ้อ! ลืมบอกไปว่าฉันเรียนโรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดนครศรีธรรมราช ฉันเรียนแผนศิลป์ คำนวณ ชีวติสมัยมัธยมนั้นส่วนใหญ่ฉันไม่ค่อยใส่ใจการเรียนเท่าที่ควร เพราะฉันชอบทำกิจกรรม แต่การเรียนของฉันก็ไม่เคยตกต่ำนะจ๊ะ ฉันรู้ว่าชีวิตในช่วงมัธยมนั้นฉันได้ทำอะไรหลายๆในสิ่งที่ฉันไม่เคยทำ 
         ฉันเป็นวงโยธวาทิต
ฉันเป็นนางรำ
             ฉันเป็นเชียร์หลีดเดอร์
      ฉันเป็นแด๊นเซอร์
      ฉันเป็นนักโต้วาที





สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นพื้นฐานในการที่ทำให้ฉันสามารถปรับตัวอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้ ฝึกให้ฉันอดทน ในสิ่งที่ลำบาก เพราะสิ่งใดๆในโลกไม่มีอะไรได้มาง่ายได้ ประสบการณ์การทำงานในชีวิตในมัธยมนั้นเรียกรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และมิตรภาพที่ดีงามให้ฉันเสมอ ฉันได้พบเจอผู้คนหลากหลาย ฉันค่อยๆเรียนรู้ผู้คนและ เรียนรู้ว่าฉันควรอยู่ในสังคมอย่างไร


>>ถ้าตอนนี้ฉันเรียนปริญญาตรี อดีต เอ๊ะ หรือจะใช้ว่าอะไรดีเพราะฉันเพิ่งจบมาเอง 555 เมื่อก่อนนั้นฉันเรียนอยู่ที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ฉันเข้าเรียนที่พร้อมกับคำสบประมาทของผู้คนรอบข้างว่าฉันอาจจะเรียนไม่จบหรือไม่ก็ลาออกเสียก่อน เพราะว่าตอนมัธยมนั้นฉันเรียนแผนศิลป์ แล้วฉันจะมาเรียนในคณะวิทย์รอดได้อย่างไร 
             แต่พวกท่านๆเหล่านั้นต่างไม่รู้หรอกว่าคำพูดเหล่านั้นคือแรงผลักดัน ที่ทำให้ฉันมีความตั้งใจและความพยายามที่จะเรียนหนังสือให้จบคณะนี้ให้ได้ และอีกอย่างฉันสอบติดเข้ามาได้แล้วฉันก็ต้องเรียนให้ได้เพราะฉันไม่อยากให้พ่อแม่ของฉันต้องเสียหน้า  ฉันจึงเริ่มที่จะเติบโตเป็นเด็กวิทย์เข้าไปเรื่อยๆ เริ่มจาก 0 และค่อยพัฒนาไปเป็น 100 คนอื่นอาจคิดว่านี้ร้อยแล้วเหรอ แต่ฉันว่านี้มันร้อยและเต็มที่ที่สุดแล้วละที่ฉันจะทำได้ เมื่อมาอยู่ในมหาลัยฉันก็ชอบทำกิจกรรม เข้าร่วมกิจกรรมทุกอย่าง ซึ่งกิจกรรมในมหาลัย นั้นแตกต่า่งจากมัธยมมาก สิ่้งที่ฉันได้รับจึงแตกต่างไปจากมัธยมเป็นอย่างมาก ประสบการณ์และเรื่องราวต่างๆในชีวิตมหาลัยนั้นมัน(ส์)สุดยอดมาก ฉันได้เพื่อน พี่ น้อง ที่แสนดี คอยเติมเต็มเวลา4ปีที่ฉันใช้ชีวิตที่นี้
             ฉันจะเป็นคนนึงที่จะคอยเถียงกับคำพูดที่ว่า "เพื่อนสมัยมัธยมนะดีที่สุดแล้ว มหาลัยไม่มีใครจริงใจหรอก"แต่ทำไมสิ่งที่ฉันพบเจอมันกลับต่างจากคำพูดนี้ ฉันยอมรับว่าเพื่อนสมัยมัธยมนะดีที่สุด แต่ฉันก็ยังที่จะสามารถเจอเพื่อนที่ดีที่สุดอีกกลุ่มนั้นคือเพื่อนในมหาลัย เพื่อนในกลุ่มฉันมีทั้งหมดเกือบ20แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย เพราะคณะฉันคนทำกิจกรรมก็คือเพื่อนผู้ชายเป็นหลัก แล้วมีเพื่อนสนิทจริงๆก็มีปลาืทู กิ๊ก น้ำ เอ ตะหลิว ทัพพี แป้ง  คนพวกนี้เป็นเพื่อนที่ฉันสามารถพูดได้ทุกเรื่องคอยช่วยเหลือฉันทุกเรื่อง พวกเขาไม่เคยทิ้งฉันในยามลำบาก แม้พวกเราจะเจอเรื่องราวต่างๆมากมาย แต่สิ่งเหล่านั้นก็จะเป็นประสบการณ์ที่สอนให้ฉันก้าวเดินต่อไปในชีวิตอย่างมีควาสุข ฉันรู้สึกดีใจแล้วภูมิใจที่มีเพื่อนดีอย่างกลุ่มคนพวกนี้ หากใครอ่านอยู่ ฉันอย่างให้ทุกคนช่วยกันปรบมือดังๆให้กับเพื่อนของฉันหน่อยคะ 55 เพราะพวกเขาคือเพื่อนรักของฉันคะ






 ฉันไม่ได้มีแค่เพื่อน แต่ฉันมีพี่ที่สนิทอีกหลายๆคน ที่ฉันสนิทก็มีพี่ยุ้ย พี่โส พี่อาร์ม พี่โต๋ พี่บู และคนอื่นอีกเยอะแยะเลย  แต่คนที่ฉันสนิทที่สุดในบรรดารุ่นพี่ก็คือพี่ยุ้ย พี่ยุ้ยถือว่าเป็นพี่ชายของฉันเลยก็ได้ เขาเป็นพี่ที่แสนดี คอยช่วยเหลือฉันมาตลอด แม้ว่าจะมีดุไปบ้างซักนิด แต่พี่เขาก็ทำให้ฉันรักและเคารพเขามาก พี่ยุ้ยเป็นที่ปรึกษาทุกเรื่องๆของฉัน ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่เขาสามารถช่วยฉันได้เสมอ และเป็นพี่ชายที่ใจดีกับฉันมากๆด้วย ฉันจึงคิดไว้ว่าฉันจะรักเพื่อนและพี่ชายคนนี้ให้ดีที่สุด ^^




รถของพี่ยุ้ย สวยสุดๆไปเลย 


>>ถ้าตอนนี้อยู่ในวันที่ฉันภูิมิใจ วันที่่ฉันภูมิใจนั้นคือที่ฉันรับปริญญา ฉันสามรถนำใบเบิกทางให้กับชีวิตของฉันได้ และที่สำคัญฉันยังเห็นรอยยิ้มของพ่อแม่ที่คอยเคียงข้างฉันมาเสมอตลอดเวาล ไม่ว่าฉันจะมีปัญหาอะไรท่านคอยูแลเป็นห่วงเป็นใย คอยให้คำแนะนำ ดูแลเอาใจใส่ื มาตลอด ฉันไม่เคยรู้สึกว่าท่านทอดทิ้งฉัน แต่ท่านทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นตลอดเวลา ฉันรู้สึกได้ตลอดเวลาเลยว่าหัวใจของท่านทั้งสองอยู่เคียงข้างฉันเสมอ (อีฟฟาร์รักป๊ากับม๊านะคะ) 







>>ถ้าเป็นสิ่งที่ฉันชอบ  ฉันพูดเป็นประโยคสั้นๆได้เลยว่า
ฉันชอบเต้น
ฉันชอบกิน
ฉันชอบของอร่อยๆ
ฉันชอบเที่ยว
ฉันชอบเสื้อผ้า
ฉันชอบอยู่กับพ่อแม่
ฉันชอบอยู่กับเพื่อน
ฉันชอบอยู่กับพี่
ฉันชอบอยู่กับน้อง
ฉันชอบโตโตโร่
เอาเป็นว่าถ้าถามถึงสิ่งที่ฉันชอบมีเยอะแยะ เพราะอะไรที่ทำให้ฉันมีความสุขฉันชอบมันหมดทุกอย่างเลย 


>>ถ้าตอนนี้อยู่ในยุคปัจจุบัน ก็คงตอบได้เลยว่าฉันเรียนปริญญาโท อยู่ที่คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ ประสานมิตร ฉันจะตั้งใจเรียนรีบจบเพื่ออนาคตของตัวฉันเอง

>>ถ้าตอนนี้เป็นอนาคต ฉันบอกได้ว่าฉันจะเป็นคนดี ฉันจะหาแฟนมีครอบครัวที่ดี ฉันจะตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ฉันจะดูแลพ่อแม่ ฉันจะอยู่อย่างพอเพียง ฉันจะใช้ชีวิตบนฐานของคำว่าสายกลาง และฉันจะมีความสุขไปจนวันตาย

จากเรื่องราวทั้งหมดทุกคนคงสงสัยว่าฉันนั้นคือใคร ก็ฉันนี้ไง อีฟฟาร์ ราเดย์